Darkknight and MissingStone - นิยาย Darkknight and MissingStone : Dek-D.com - Writer
×

    Darkknight and MissingStone

    คุณเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติมั้ย? แล้วคุณคิดว่าพวกสัตว์วิเศษและเทพที่อยู่ในนิทานมีจริงหรือเปล่า? แล้วถ้าเราจะบอกว่าโลกใบนี้มิติทับซ้อนอยู่จะดูน่าเชื่อมั้ย?? ลองมาอ่านเรื่องราวมหรรศจรรย์นี้ดูสิ

    ผู้เข้าชมรวม

    67

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    67

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  24 พ.ย. 64 / 20:47 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ก่อนสิ่งมีชีวิตใดใดในจักรวาลจะเกิด

     

     ในเอกภพสีดำอันว่างเปล่าและไร้ซึ่งจุดจบแห่งนี้ ได้เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่เหล่ามนุษย์เรียกกันว่า “Big Bang”ขึ้น ปรากฏการณ์นี้นอกจากจะปล่อยฝุ่นผงนับล้านออกมาแล้ว ยังได้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตแรกเริ่มขนาดยักษ์ 


    ในตำนานของชาวมิติที่สองผู้อยู่ใกล้ชิดกับสิ่งเหนือธรรมชาติได้ขานนามให้กับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ว่า “God” พวกเขามีรูปธรรมไม่ซ้ำกัน ทั้งสีสัน และรูปร่าง ภายในตัวของพวกเขามีพลังแห่งการสร้างไหวเวียนอยู่โดยมีใจกลางเป็นพลังงานแห่งชีวิตที่ไม่มีวันหมด


    หน้าที่ของพวกเขา คือการนำฝุ่นผงที่กระจายอยู่ตัวมารวมกันและใช้พลังเวทย์สร้างให้กลายเป็นก้อนหินขนาดเล็ก จนเป็นดาวเคราะห์หนึ่งดวงขึ้นมา เหล่าก็อทจำนวนมากในตอนนี้ต่างก็ช่วยกันรังสรรค์ดวงดาวในแบบไม่ซ้ำใครขึ้นมาเรื่อยๆและด้วยพลังแห่งผู้สร้างของพวกเขา 

    ไม่นานเอกภพที่เคยว่างเปล่าแห่งนี้ได้ถูกเติมเต็มไปด้วยกาแล็คซี่สีสันสดใสที่เกิดจากสีของดาวเคราะห์ซึ่งเหล่าก็อทที่เป็นผู้สร้างได้รวบรวมกันเอาไว้ 

    พวกเขามีความสุขและไม่คิดจะหยุดทำหน้าที่ของตัวเอง พวกเขาจะสร้างไปเรื่อยๆจนกว่าจุดสิ้นสุดของเอกภพแห่งนี้จะอัดแน่นไปด้วยสีสัน


     แต่เมื่อมีผู้สร้างก็ต้องมีผู้ทำลาย ในขณะที่เหล่าก็อทกำลังทำหน้าที่ของตนอยู่นั้น พวกเขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้มีสิ่งมีชีวิตอีกอย่างได้ถือกำเนิดขึ้น 

    ชาวมิติที่สองเรียกพวกมันว่า “LightSwallers” มีสีดำ ไร้รูปธรรม เกิดมาเพื่อคอยกัดกินซากดาวเก่าที่หมดอายุขัย

    สิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้เมื่ออยู่ร่วมกันความสมดุลของเอกภพแห่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นเป็นวงจรที่ดำเนินไปเรื่อยๆอย่างสงบสุข


    จนกระทั่งมีไลท์สวาเลอร์ตนหนึ่ง ได้เผลอไปลิ้มลองรสชาติของดาวเคราะห์ใกล้ตายที่ยังหลงเหลือพลังเวทย์อยู่ในนั้น และเกิดติดใจ ชื่นชอบในรสชาตินั้นมาก หลังจากนั้นไม่นานเหล่าไลท์สวาเลอร์ตนอื่นๆก็ได้ลิ้มลองและเกิดการเสพติดพลังวิเศษนี้ขึ้น กลายเป็นความต้องการที่ไม่สิ้นสุด


    หลังจากนั้นความสมดุลก็เริ่มบิดเบี้ยว วงจรการเกิดดับก็เปลี่ยนไป เพราะพวกมันได้เปลี่ยนเป้าหมายการกิน จากดาวเคราะ์ที่ตายมาเป็นดาวที่ยังสุขสว่างเต็มไปด้วยพลังเวทย์และพลังชีวิต ยิ่งสดใหม่ยิ่งดี แล้วความโลภนี้ก็ได้ชี้นำให้พวกมันทำในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดนั่นก็คือการเปลี่ยนมากินพลังเวทย์ของเหล่าผู้สร้างแทน 

    เหล่าก็อทที่ถูกไลท์สวาเลอร์จับกลืนกินนั้นจะกลายเป็นศิลาที่ล่องลอยอยู่ในอวกาศ แต่บางส่วนก็จะกลายพวกเดียวกับมันไป


    วงจรอันบิดเบี้ยวนี้เกิดเร็วราวกับไฟและได้ลุกลามไปเป็นวงกว้างเกินจะต้านทานจนทำให้ตอนนี้เหล่าผู้ทำลายมีจำนวนมากขึ้นตรงข้ามกับเหล่าผู้สร้างที่กำลังจะเหลือน้อยลงทุกที 


    ตอนนี้เหลือแค่ก็อทร่างมนุษย์เพียงตนสุดท้ายที่หนีออกมาได้ไกลที่สุดกำลังจะสร้างระบบสุริยะและดาวดวงสุดท้ายของตนอยู่ เขารู้ดีว่าอีกไม่นานพวกมันจะตามหาเขาเจอและเขาไม่มีทางรอดแน่ๆจึงคิดจะฝากพลังทั้งหมดที่มีไว้กับหนึ่งในดาวของระบบสุริยะนี้

    ซึ่งดาวดวงนั้นคือดาวโลก


    ในตอนที่เขากำลังจะมอบพลังทั้งหมดให้ เหล่าเงามืดที่ตามล่าก็อทตัวสุดท้ายอยู่ก็เจอตัวเข้า การต่อสู้จึงเริ่มขึ้นโดยมีอนาคตของโลกเป็นเดิมพัน

    ไลท์สวาเลอร์ได้พุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วแต่ก็อทหลบได้และสร้างมิติชั้นที่สองขึ้นมาเพื่อไม่ให้พื้นผิวของดาวโลกจริงเกิดความเสียหายจากการรบ

     ทั้งสองฝ่ายต่างสู้กันไปซักพักก็อทก็ได้เสียท่าให้กับฝั่งตรงข้ามโดยถูกไลท์สวาเลอร์ที่กลายร่างเป็นของแหลมแทงเข้าไปกลางมือข้างซ้ายของเขา เสียงกรีดร้องเสียงแรกของเอกภพที่ราวกับเสียงปลาวาฬของก็อทก็ได้ดังสนั่นไปทั่วเอกภพ 

    เขาปล่อยแสงแฟรซสว่างออกมาจนทำให้ไลท์สวาเลอร์บางส่วนสลายไป เขามองไปยังมือซ้ายที่เริ่มกลายเป็นสีดำลามขึ้นมาที่แขน เหลือเวลาอีกไม่มากสำหรับอนาคตของโลกไปนี้ ก็อทจำเป็นต้องสู้อย่างสุดชีวิตเพื่อไม่ให้สิ่งที่เขารักต้องสูญหายไป จึงลองใช้มือที่กลายเป็นสีดำกลายสภาพให้เป็นอาวุธและเริ่มต่อสู้เพื่อการปกป้องสิ่งที่มีอยู่ทันที


    ท้ายที่สุดก็อทก็สามารถขับไล่เหล่าไลท์สวาเลอร์ให้ออกไปจากระบบสุริยะนี้ได้สำเร็จ แต่ด้วยร่างกายและพลังที่ถูกกลืนกินไปครึ่งร่างทำให้เขาไม่สามารถสร้างสิ่งใดได้อีกนอกจากความเย็นและความร้อนประจบกับความรู้สึกที่ว่าอีกไม่นานเขาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกมัน


    ผู้สร้างตนสุดท้าย จึงได้ตัดสินใจสละชีวิตของตนเองเพื่อเปลี่ยนพลังที่เหลือในตัวแบ่งออกเป็นสองส่วนดังนี้


    ส่วนแรกให้กลายเป็นศิลาธาตุลอยฟ้าทั้งสี่หลักอันประกอบไปด้วยดิน น้ำ ลมและไฟ เพื่อควบคุมการสร้าง,ทำลาย,การเกิดและการดับสลาย เพื่อควบคุมความสมดุลของสิ่งต่างๆทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า


    ส่วนที่สองได้สร้างเป็นบาเรียชั้นบรรยากาศและคลื่นสนามแม่เหล็กอันทรงพลังเพื่อป้องกันเหล่าไลท์สวาเลอร์ที่พร้อมจะกลับมายึดครองโลกใบนี้ได้ทุกเมื่อโดยแหล่งกำลังเนิดของบาเรียจะถูกฝังอยู่ในใจกลางของโลกซึ่งไม่มีใครสามารถบุกเข้าไปถึงแหล่งกำเนิดแห่งนี้ได้ ไม่เช่นนั้นโลกคงจะถึงคราวแตกสลายไปแล้ว


    มือซ้ายที่มืดมิดของเขาได้กลายมาเป็นแร่อัญมณีสีดำที่มีแสงสีแดงอันเป็นเลือดแรกของก็อทไหลเวียนอยู่


    มือขวาอีกข้างที่ยังคงขาวบริสุทธิ์ก็เปลี่ยนเป็นหินใสที่มีหนามแหลมยื่นออกมาซึ่งมีคุณสมบัติส่องสว่างได้ราวกับดวงดารา

    หินทั้งสองนี้ได้ถูกจัดไว้คู่กันและล้อมรอบตัวศิลาธาตุหลักโดยทันที


    และสิ่งสุดท้ายที่ก็อทได้มอบให้เป็นของขวัญแก้โลกใบนี้ คือหยดน้ำตาหยดสุดท้ายที่มีพลังชีวิตอันหนาแน่นและเวทย์มนต์ที่เข้มข้นอยู่ในนั้น ทันทีที่หยดน้ำตาได้ไหลลงสู่ผืนแผ่นดิน ร่างของก็อทก็ได้กลายเป็นหินอยู่ ณ ที่แห่งนี้ในที่สุด ก่อนจะหลับลงเขาได้นึกเสียดายที่ไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ด้วยตาตนเอง


    แต่ถึงอย่างนั้นการสลายไปของจิตวิญญาญผู้เป็นดั่งพระเจ้าที่สร้างโลกและระบบสุริยะแห่งนี้ได้แลกกับเวลา ชีวิต และวัฐจักรทุกๆอย่างที่กำลังจะได้เริ่มต้นขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นมิติที่หนึ่งหรือมิติที่สองก็ตาม


    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น